วันนี้ (14 ส.ค.) ลูกค้าสาวของห้างดังรายหนึ่งใช้ชื่อเฟซบุ๊กว่า สาวฮาร์ดคอร์ ชะนีโสด นางฟ้าขี้เหงา ได้โพสต์เล่าประสบการณ์ถูกพนักงานของห้างทำพฤติกรรมหยาบคายใส่ หลังนำสินค้ามีตำหนิไปเปลี่ยน โดยสาวรายนี้เล่าว่าเมื่อวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา ได้นำชุดเด็กอ่อนกระโปรงบอลลูนไปเปลี่ยนที่จุดบริการลูกค้า ในห้างสรรพสินค้าดัง สาขาดอนเมือง (สะพานใหม่) เพราะตะเข็บตรงเอวเย็นติดกับตะเข็บข้าง ขณะที่ยื่นให้พนักงานและบอกว่าจะเปลี่ยน พนักงานก็รีบพูดว่า เป็นเหมือนกันทุกตัว ตนจึงสวนไปทันทีว่า “ตัวอื่นไม่เป็นค่ะ” แล้วก็บอกให้ตนไปเอาตัวใหม่มาเปลี่ยน ตนจึงถามไปว่า ไม่มีพนักงานเอาลงมาเปลี่ยนให้หรือ เนื่องจากตนจอดรถชั้น 2 แต่จุดบริการอยู่ชั้น 1 และชุดที่ต้องเอาไปเปลี่ยนอยู่ชั้น 2 เท่ากับว่าเพิ่งลงมาแล้วก็ต้องขึ้นไป และต้องลงมาอีก
พนักงานตอบกลับมาว่า ไม่งั้นก็ทำคืนเงินแล้วลูกค้าขึ้นไปซื้อใหม่
ตนลังเลสักพักก็บอกว่าจะขึ้นไปเอาตัวใหม่เอง และเอาลงมายื่นให้พนักงานพร้อมพูดว่า “เช็กดูด้วยนะคะ ว่าตัวนี้เป็นเหมือนตัวเมื่อกี้ไหม” แต่พนักงานกลับไม่เช็ก ตนจึงย้ำไปอีกครั้ง พนักงานก็แหวกดูตะเข็บเห็นขี้ด้าย ตนจึงพูดว่า “ขี้ด้ายพี่ไม่ซีเรียส มันตัดได้” แล้วพูดต่อว่า “วันหลังอย่าพูดส่ง ๆ สักแต่ว่าพูดนะคะ เป็นพนักงานบริการลูกค้านะ” ซึ่งเห็นว่าพนักงานแอบชักสีหน้า และพูดขอโทษ
มาวันนี้ ตนเข้าห้างและแจ้งเบอร์โทรศัพท์กับแคชเชียร์ แคชเชียร์ก็ถามทวนหลายรอบ เพราะเบอร์นี้มีชื่อเป็นคำหยาบคาย ซึ่งจริงๆ แล้วเบอร์นี้เป็นเบอร์ของแม่และมีชื่อแม่เป็นชื่อสมาชิก ทำให้ตนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้ โดยสาวรายนี้ระบุว่า
“ทำงานบริการ ทำไมเลวอย่างนี้ เป็นมุสลิมโพกหัว ได้ชื่อ-นามสกุลมันมาละ แบบนี้ควรกราบขอโทษไหม ?!” และล่าสุดก็ได้โทรไปแจ้งทางห้างสาขาดอนเมือง โดยห้างบอกว่าจะตักเตือน แต่ตนก็บอกกลับไปว่าพฤติกรรมแบบนี้ต้องไล่ออกแล้ว ไม่ใช่แค่ตักเตือน
วานนี้ (14 ส.ค.) มีเหตุ นางสุภาภรณ์ ปราบอินทร์ อายุ 41 ปี ผู้เป็นแม่เอาเข็มขัดรัดคอลูกเล็กวัยขวบกว่าที่นอนอยู่ในเปล ขณะไลฟ์สดทางเฟซบุ๊กชื่อ ‘Moon Prab-arin’ พร้อมระบุข้อความว่า ‘ตอนนี้เอาเข็มขัดรัดคอลูกให้ตาย ต่อไปแม่ผูกคอตาย ลาก่อนเจ้าหนี้เก็บเงินศพนะ’ และพูดในคลิปว่า ตนจะฆ่าลูกและฆ่าตัวตายตาม เพราะสามีไม่รักแล้ว ทางสภ.ภูผาม่าน จึงได้แจ้งสายตรวจเข้าตรวจสอบและระงับเหตุทันที และเด็กก็ปลอดภัยดี นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่สายตรวจยังได้ควบคุมตัวนางสุภาภรณ์ไปที่สภ.ภูผาม่านด้วย อย่างไรก็ตาม คลิปไลฟ์สดดังกล่าวก็ได้มีการแชร์ต่อกันไปอย่างรวดเร็วพร้อมกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักต่อการกระทำของผู้เป็นแม่
หลังเกิดเหตุ ผู้สื่อข่าวได้เข้าไปที่บ้านของนางสุภาภรณ์ และพบว่านางสุภาภรณ์อยู่ในอาการคล้ายมึนเมาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า ตนแต่งงานมาแล้ว 3 ครั้ง และมีลูกทั้งหมด 4 คน สามีของตนคนล่าสุดชื่อ อเล็กซานเดอร์ เป็นชาวรัสเซีย และอยู่กินกันมาหลายปี มีลูกด้วยกัน 1 คนคือด.ช.อันเดร ที่ปรากฏในคลิป ก่อนหน้านี้ตนทำงานและอาศัยอยู่กับสามีที่พัทยา โดยเดินทางไป-กลับบ้านที่ขอนแก่นเป็นประจำ
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ตนพสลูกชายกลับมาที่บ้านที่ขอนแก่น และระหว่างนี้ สามีไม่ได้ดูแลหรือส่งเงินมาให้ตนและลูกเลย ทำให้เกิดความเครียดและน้อยใจ จึงได้ไลฟ์สดและทำให้เหมือนว่าจะฆ่าลูก แต่จริงๆ แล้ว นางสุภาภรณ์กล่าวว่า ตนไม่มีเจตนาจะทำร้ายลูก ที่ทำไปเพียงเพื่อประชดสามีและเรียกร้องความสนใจเท่านั้น
ออกหมายจับเพิ่มอีก 4 มือบึ้มป่วนกรุง
วันนี้ (14 ส.ค.) พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รอง โฆษกตร. ได้เผยถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีผู้ร่วมลอบวางระเบิดรอบพื้นที่กทม.ว่า ศาลอาญาได้อนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติมอีก 4 รายคือ นายอัสมี อาบูวะ, นายอุสมาน เปาะลอ, นายอัมรี มะมิง และ นายฮาเเซ แบเล๊าะ
โดยขณะนี้มีผู้ที่ศาลอนุมัติหมายจับทั้งหมดรวม 6 ราย ซึ่งมีสองรายที่ถูกจับไปแล้วก่อนหน้านี้คือ นายลูไอ แซแง และนายวิลดัน มาหะ (ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 2 ส.ค.) และทั้งหมดมีความผิดข้อหาเป็นอั้งยี่, ร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์,กระทำให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น, ทำ ใช้ มีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ พกพาอาวุธ(ระเบิด)ไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร และทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งเป็นความผิดที่มีอายุความ 20 ปี และมีอัตราโทษสูง
ในส่วนของข้อหาก่อการร้ายนั้น ทางพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้สั่งการให้คณะพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อแจ้งต่อกองบังคับการปราบปรามให้เป็นผู้ดำเนินคดีข้อหาดังกล่าว
นอกจากนี้ คดีนี้ ผบ.ตร. ได้กำชับให้คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนทำงานแข่งกับเวลา ยึดระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนหลักสิทธิมนุษยชน เป็นสำคัญ โดยจะต้องไม่มีการจับแพะอย่างเด็ดขาด
พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวว่า อยากขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในทีมงานของผบ.ตร. และคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ที่ได้แต่งตั้งขึ้นมาทำงาน ซึ่งได้ทำงานกันอย่างเต็มความสามารถ และได้ระดมทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมาทำงานร่วมกันอย่างไม่มีวันหยุดพัก และได้ใช้หลักนิติวิทยานศาสตร์มาช่วยเชื่อมโยงพิสูจน์ถึงการกระทำความผิด หากประชาชนมีข้อมูลหรือเบาะแสที่เกี่ยวข้อง สามารถแจ้งหรือส่งข้อมูลมายังหมายเลขสายด่วน 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชม. ในทุกพื้นที่